จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามิน บี แต่ก็ยังไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณของวิตามินที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน วิตามินนี้จะถูกสังเคราะห์โดยจุลินทรีย์ในลำไส้ ระดับของไบโอตินในเซรุ่มของคนปกติอยู่ระหว่าง 213-404 นาโนกรัม/มล.สาเหตุหนึ่งที่ร่างกายอาจขาดไบโอตินได้ก็คือ การรับประทานไข่ขาวดิบในปริมาณมากเป็นระยะเวลานานๆ ทั้งนี้เพราะในไข่ขาวมีสารที่จะทำลายไบโอติน เมื่อร่างกายเกิดอาการขาดวิตามินนี้ก็จะทำให้เกิดเป็นโรคผิวหนัง ผิวหนังมีสีเทา อ่อนเพลีย โลหิตจาง มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่าปกติ
ไบโอติน ที่มีจำหน่ายโดยมากจะผสมรวมกับวิตามินอื่นๆ ในรูปของวิตามินรวม เพื่อจุดประสงค์ในการป้องกันการขาดวิตามินโดยเฉพาะเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะที่ต้องการปริมาณเพิ่มขึ้น สำหรับประโยชน์ในการรักษา โดยมากจะนำมารักษาโรคผิวหนังชนิดที่ต่อมไขมันมากเกินไป ซึ่งมักจะเกิดในเด็กและทารกโดยให้ขนาด 5-10 มก./วัน ให้โดยการฉีดจะทำให้อาการดีขึ้น
อาหารที่อุดมไปด้วยไบโอตินได้แก่ ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิรต์ ผักต่างๆโดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด แครอทเป็นต้นค่ะ ส่วนที่เกี่ยวกับปัญหาผมร่วงนั้น ประโยชน์ของไบโอตินคือไบโอตินเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อขบวนการเมตาโบลิซึมหรือการเผาผลาญพลังงานจากทั้งคาร์โบไฮเดรต(แป้ง น้ำตาล) และโปรตีน ในแต่ละวันร่างกายคนเราต้องการไบโอตินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าขาดไปขบวนการใช้พลังงานต่าง ๆ ในร่างกายก็ผิดปกติ และพบว่าคนที่ขาดไบโอตินนั้นจะมีปัญหาเรื่องของผมหงอกก่อนวัย ผมหลุดร่วง ศีรษะล้าน มีผิวหนังแห้งอักเสบได้ง่าย เล็บเปราะหัก บางครั้งมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ อาจมีอาการซึมเศร้าได้ด้วย
ร่างกายเราต้องการไบโอตินต่อวันเป็นจำนวนน้อยมาก แค่100-150ไมโครกรัม (ไมโครกรัมคือ1ในล้านของ1กรัม)ค่าRDAในประเทศไทยนั้นกำหนดว่าเราควรจะได้รับไบโอตินวันละ150ไมโครกรัมซึ่ง ดูเหมือนว่าโอกาสที่จะได้รับไบโอตินจากการกินอาหารอย่างเพียงพอไม่น่าจะขาด แคลน และบางส่วนยังสามารถสังเคราะห์ได์จากแบคทีเรียในลำไส้อีกด้วย แต่จากการสำรวจอาหารที่คนเรารับประทานพบว่าไบโอตินมีอยู่ในอาหารในปริมาณที่น้อยมากเช่น
- ในตับ 1 ขีด หรือ 100 กรัม จะมีไบโอติน 100 ไมโครกรัม
- ในถั่วเหลือง 100 กรัม จะมีไบโอตินเพียงแค่ 60-70 ไมโครกรัม
- ซีเรียล 100 กรัม จะมีไบโอตินเพียงแค่ไม่ถึง 30 ไมโครกรัม
-ผลไม้และเนื้อสัตว์ยิ่งมีไบโอตินน้อยมาก ในผลไม้หรือสเต๊คเนื้อ 100กรัมนั้น จะมีไบโอตินเพียงแค่0.6-2.3 ไมโครกรัมเท่านั้น คงต้องรับประทานอาหารพวกนี้เป็นปริมาณมากๆถึงจะได้รับไบโอตินเพียงพอกับความต้องการในแต่ละวัน
การรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นระยะเวลานานๆและคนสูงอายุ ก็พบว่าเป็นสาเหตุให้การสังเคราะหไบโอตินในลำไส้ลดลง
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าคนส่วนหนึ่งอาจจะขาดไบโอตินโดยไม่รู้ตัว และทำให้มีปัญหาเล็บเปราะฉีกขาดง่าย ผมหงอกก่อนวัย หรือผมไม่แข็งแรง หลุดร่วงก่อนวัยอันสมควร และนี่เองคือที่มาของหลักการนำอาหารเสริมวิตามินไบโอตินมารับประทานเพื่อช่วยเสริมให้รากผมแข็งแรง ป้องกันหรือระงับการหลุดร่วงหรือผมหงอกก่อนวัย รวมทั้งช่วยให้มีเส้นผมใหม่ที่ขึ้นมาแข็งแรงกว่าเดิมด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าไบโอตินยังช่วยให้เล็บแข็งแรงในคนที่มีปัญหาเล็บเปราะ เล็บแตกหักง่าย ในต่างประเทศแนะนำให้รับประทานกันตั้งแต่ 600-2,400ไมโครกรัม หรือเพียงแค่ 0.6-2.4 มิลลิกรัมเท่านั้น และรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่เป็นอันตราย เพราะไบโอตินอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ หากรับประทานมากเกินไป
ร่างกายจะขับถ่ายออกมาได้เอง โดยที่ไม่มีการสะสมเป็นส่วนเกินในร่างกายที่สำคัญมีการวิจัยพบว่าเด็กที่มีปัญหาผื่นผิวหนังอักเสบ หรือผมร่วงจากการขาดแร่ธาตุไบโอตินนี้
เมื่อได้รับการฉีดไบโอตินวันละ 5-10 มิลลิกรัม หรือคิดเป็น 5,000-10,000 ไมโครกรัมต่อวัน ต่อเนื่องกัน
นานเป็นเดือน ก็ไม่มีอันตราย แม้จะเป็นเด็กทารกตัวนิดเดียว ดังนั้นการที่คนเราตัวใหญ่ ๆ รับประทานไบโอตินวันละ 2.4 มิลลิกรัม ก็ไม่น่าจะเป็นอันตราย
โดยสรุปไบโอตินนับเป็นวิตามินหรืออาหารเสริมชนิดหนึ่ง ที่มีบทบาทต่อการเสริมสุขภาพเส้นผมและเล็บให้แข็งแรง ช่วยบรรเทาอาการผมหลุดร่วง ช่วยไม่ให้ผมหงอกไว และช่วยให้ผู้หญิงที่ผมบางหรือผู้ชายที่ศีรษะล้านมีความหวังใหม่ในการทะนุบำรุงเส้นผมให้มีอายุยืนยาวนานยิ่งขึ้น