ประโยชน์โอเมก้า 3-6-9
- ช่วยการไหลเวียนของเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ หัวใจพิบัติ และความดันสูง โดยการลดการแข็งตัวของเลือด ลดการจับกลุ่มของเกล็ดเลือดทำให้หลอดเลือดที่หัวใจเป็นปกติ ลดอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูง สร้างสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัวได้ดี
- ใช้เพื่อลดน้ำหนัก กำจัดไขมัน และคลอเรสเตอรอล ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ โอเมก้า 3-6-9 จะช่วยลดการดูดซึมไขมันอิ่มตัวที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายได้รับไขมันที่ไม่ดีน้อยลง รวมทั้งสามารถกำจัดไขมันที่ไม่ดีในร่างกายออกไปด้วย
- รักษาโรคสะเก็ดเงิน บำรุงผิวพรรณบำรุงเส้นผม รักษาอาการแห้งเสียแตกปลาย รังแคและบำรุงเล็บเพราะโอเมก้า 3-6-9 สามารถรักษาโครงสร้างของเซลล์และทำหน้าที่เยื่อบุเซลล์ให้มีสุขภาพดี ป้องกันการสูญเสียความชื้นจากผิวหนัง ควบคุมการผลัดเซลล์หนังศีรษะซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดรังแค รวมทั้งสามารถป้องกันและรักษาผิวไหม้จากแสงแดด โดยโอเมก้า 3-6-9 จะช่วยลดความเสียหายจากรังสีอัลตราไวโอเลต ฟื้นฟูสภาพผิว ลดการอักเสบผิว บรรเทาอาการคันและผื่นของผิวหนังโดยการเป็นสารตั้งต้นของการสร้าง eicosanoids ที่ช่วยลดการอักเสบ
- บำรุงสายตา สมอง ความจำ ต้านอาการซึมเศร้า ป้องกันระบบประสาทเสื่อม และอัลไซเมอร์ โอเมก้า 3-6-9 เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเซลล์ประสาท สมอง และเรตินา รวมทั้งจัดเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมองของ เด็กทารกและยังช่วยควบคุมการทำงานของสมองในผู้ใหญ่ เนื่องจากดีเอชเอไปมีผลกระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาทที่ถูกทำลายไป ส่วนอีพีเอช่วยลดการแข็งตัวของเยื้อหุ้มเม็ดเลือดแดง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนมากขึ้น
- รักษาอาการที่เกี่ยวกับการมีประจำเดือน บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดบวมข้ออักเสบรูมาตอยด์ ลดอาการปวดหลัง จากการวิจัยพบว่าโอเมก้า 3-6-9 ในปริมาณที่พอดีจะช่วยให้ ผู้ป่วยสามารถลดการใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเทียรอยด์ลงได้
- ลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง ลดการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาทิ ไขข้ออักเสบ
3-6-9
-กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า - 3 เป็นหนึ่งในกลุ่มกรดไขมัน ที่ร่างกายมนุษย์ขาดไม่ได้แบ่งได้เป็นสองชนิดใหญ่ ได้แก่พวก EPA (EICOSAPANTAENOIC ACID) และ DHA (DOCOSAHEXANOIC ACID) และยังมีกรดไลโนเลิอิก (LINOLEIC ACID) พบมากในปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาแม็คเคอเรล ปลาทูน่า หรือปลาน้ำจืดบางชนิด มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาทเกี่ยวกับการพัฒนาเรียนรู้ รวมทั้งเกี่ยวกับเรตินาในการมองเห็น
-กรดไขมันโอเมก้า- 6 ได้แก่ กรดลิโนเลอิก (Linoleic acid=LA)พบมากในน้ำมันพืช ถั่วเหลือง ทานตะวัน คาโนล่า และถั่วชนิดต่างๆมีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายการทำงานของสมองและหัวใจ และที่สำคัญร่างกายคนเราไม่สามารถผลิตกรดไขมันชนิดนี้ได้เอง
-กรดไขมันโอเมก้า- 9 ได้แก่ กรดโอเลอิก (Oleic acid)
พบมากในน้ำมันมะกอก มีบทบาทสำคัญช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และสามารถเปลี่ยนเป็นกรดโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ได้เมื่อร่างกายเกิดภาวะขาดแคลน
-ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
สมาคมโรคหัวใจ USA แนะนำให้กินปลาสัปดาห์ละอย่างน้อย 2 ครั้ง
WHO แนะนำให้กิน 0.3-0.5 กรัมของ EPA + DHA และ 0.8-1.1 กรัมของ ALA
-ผลข้างเคียงที่อาจได้รับจากการรับประทานเกินขนาดที่กำหนด
1. การเกิดเลือดออก
น้ำมันปลา สามารถลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด(เป็นผลดีในกรณีโรคหัวใจ) ทำให้หากเกิดบาดแผล ก็จะหายได้ยากขึ้น และเกิดเลือดออกได้มากขึ้น การได้รับ omega-3 มากๆ เช่น มากเกิน 3 กรัม/วัน จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดหลอดเลือดสมองแตกได้ และการทานในขนาดที่มากขึ้น อาจทำให้เกิดเลือดกำเดาหรือมีเลือดออกปนกับปัสสาวะได้
2. ความดันโลหิตลดลง
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น การใช้ควรระวังในคนที่มีภาวะความดันต่ำอยู่แล้ว หรือในคนที่กินยาลดความดัน อาจทำให้เกิดภาวะความดันต่ำได้
3. การได้รับสารพิษที่ตกค้างในปลา
ในปัจจุบัน พบว่ามีสารพิษตกค้างในปลาบางชนิด เช่น Dioxin, Methylmercury และ polychlorinated biphenyl ควรเลือกผลิตภันฑ์ที่ได้มาตรฐานและได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หมายเหตุ:
1.เด็กและสตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อป้องกันอันตรายและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
2.อาหารเสริมในปริมาณที่เหมาะสมของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุ น้ำหนักตัว สุขภาพ อาหารที่ทาน และกิจวัตรประจำวันของแต่ละบุคคล (โดยปกติแล้ว รับประทานไม่เกิน 1 เม็ด/วัน สำหรับขนาด500-1000 mg. พร้อมอาหารเช้าที่มีไขมันเล็กน้อย)